วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ประวัติเสภาประเพณีการขับเสภามีแต่ครั้งกรุงเก่า
แต่จะมีขึ้นเมื่อใดและเหตุใดจึงเอาเรื่องขุนช้างขุนแผนมาแต่งเป็นกลอนขับเสภา ทั้ง 2 ข้อนี้ยังไม่พบอธิบายปรากฏเป็นแน่ชัด แม้แต่คำที่เรียกว่า “เสภา” คำนี้มูลศัพท์จะเป็นภาษาใด และแปลว่ากระไร
ก็ยังสืบไม่ได้ความคำ “เสภา” นี้
นอกจากนี้ที่เรียกการขับร้องเรื่องขุนช้างขุนแผนอย่างเราเข้าใจกัน
มีที่ใช้อย่างอื่นแต่เป็นชื่อเพลงปี่พาทย์ เรียกว่า “เสภานอก”
เพลง ๑ “เสภาใน” เพลง ๑ “เสภากลาง” เพลง ๑ ชวนให้สันนิษฐานว่า “เสภา” จะเป็นชื่อลำนำที่เอามาใช้เป็นทำนองขับเรื่องขุนช้างขุนแผน
แต่ผู้ชำนาญดนตรีกล่าวยืนยันว่า ลำนำที่ขับเสภาไม่ได้ใกล้กับเพลงเสภาเลย
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอันยังแปลไม่ออกว่า คำที่ว่า “เสภา”
นี้ จะแปลความหมายว่ากระไร แต่มีเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในหนังสือต่าง
ๆ บ้าง ข้าพเจ้าเคยได้สดับคำผู้หลักผู้ใหญ่บ้างเล่ามาบ้าง สังเกตเห็นในกระบวนกลอน
และถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสภาบ้าง ประกอบกับความสันนิษฐาน
เห็นมีเค้าเงื่อนพอจะคาดคะเนตำนานของเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนได้อยู่
ข้าพเจ้าจะลองเก็บเนื้อความมาร้อยกรองแสดงโดยอัตโนมัติ
ประกอบด้วยเหตุผลซึ่งจะชี้แจงไว้ให้ปรากฏแก่ท่านทั้งหลาย
ว่าด้วยหนังสือเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนการเกิดเสภาขุนช้างขุนแผนนี้
เริ่มมาจากขุนช้างขุนแผนเคยเป็นนิทานซึ่งมีความยาวมาก
ยากที่จะเล่าให้จบในคราวเดียว แต่ก็มีผู้เห็นความสำคัญของกลอน อย่างเช่น
ในบทอัศจรรย์ บทพ้อ บทชมโฉม บทชมสถานที่ต่าง ๆ
ซึ่งเป็นที่นิยมของคนฟังนิทานในสมัยนั้น จึงมีผู้นำบทกลอนเหล่านี้มาแต่งเป็นกลอนเฉพาะตอนที่อยากฟังและเริ่มนำมาขับเสภาตั้งแต่นั้นมาลักษณะเด่นของเสภาขุนช้างขุนแผนที่ทำให้เป็นที่นิยมน่าจะเป็นเพราะใช้คำพูดที่หยาบโลน
ทั้ง ๆ ที่นำไปขับในวังที่สมัยก่อนถือเป็นสถานที่ที่เคร่งครัดเรื่องการใช้คำพูด
การที่คนในวังที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนจึงทำให้เป็นที่ชื่นชอบ
จุดประสงค์ที่ผู้แต่งใช้คำหยาบโลนอีกอย่างน่าจะเป็นเพราะความเชื่อในเรื่องของการนั้นจะทำให้ปีศาจไม่กล้ามาลักพาตัวไปหนังสือเรื่องขุนช้างขุนแผนมีสำนวนหลากหลายเนื่องจากมีผู้แต่งหลายคน
ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น จึงสามารถสื่อให้เห็นความคิด
ค่านิยม และวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนั้น ๆ ได้ดีเสภาขุนช้างขุนแผน ตอน”พลายแก้วเป็นชู้กับนางพิม” สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า
เป็นสำนวนพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น